Categories
ธุรกิจ

Comfort Zone คุณว่า “สบาย” ผมว่า “อันตราย”

อุปสรรคในใจ ก็ไม่มีอะไรไปกว่า แค่ยึดมั่นถือมั่น กลัวต่อการเปลี่ยนแปลง ติดอยู่กับกรอบของความปลอดภัย ที่สร้างด้วยน้ำมือตัวเอง ไม่ใช่คนอื่น

ยังจำวันแรกตอนเข้ามหาลัยได้ รุ่นพี่นัดให้มาเจอกันที่คณะฯ ความที่เราเด๋อๆ ด๋าๆ ก็ทำตัวไม่ถูก เขินปนเซ่อ ตอนเลือกจับกลุ่มก็ด้อมๆ มองๆ ดูโหงวเฮ้ง เล็งเอาคนที่คิดว่าบุคลิก การแต่งกายคล้ายๆ กับเรา ไปไหนก็ไปด้วยกัน น่าจะพอเอาตัวรอดได้

เพื่อนฝูงหลายคนก็เป็น เด็กเซ็นโยฯ มาแตร์ ก็เลือกอยู่กับพวกกระโปรงแดง โบน้ำเงิน ขณะที่เด็กเตรียมฯ ใหญ่ก็เกาะกันเป็นพรืด กลุ่มที่มาจากต่างจังหวัดก็ก๊วนแก๊งกับแดนดินถิ่นเดียวกัน ไม่แปลกตัวไปไหน

จริงอยู่ แม้มนุษย์จะเป็นสัตว์สังคม รักความสนุก เกลียดการแปลกแยก แต่ก็อีกนั่นแหละ สัญชาตญาณติดตัวแต่เกิดก็สอนให้มนุษย์มี “ความกลัว” ไม่แพ้เรื่องอื่น

ในสถานการณ์ที่เลือกได้ มนุษย์ก็ยังเลือกที่จะอยู่กับคนที่ตัวเองคิดว่าปลอดภัย หรือสบายใจเป็นหลัก จะคบกันก็ต้องพูดภาษาเดียวกัน มีไลฟ์สไตล์ใกล้ๆ กัน ไม่มีใครชอบความต่างอย่างสุดขั้ว แบบปรับตัวเข้ากันไม่ได้

จะมีผสมคนที่ไม่ใช่อยู่บ้าง ก็เป็นส่วนน้อย แถมพอผ่านช่วงละลายพฤติกรรมโดยรุ่นพี่ ที่คิดว่า “ใช่” ก็ อาจ “ไม่” เกิดการเปลี่ยนน้ำ เลือกส่วนผสมใหม่ให้ลงตัวที่สุด

จนเมื่อโตขึ้น เราก็พอกพูนนิสัยความเคยชินโดยไม่รู้ตัว หลายคนมักจะติดอยู่กับวิธีคิดแบบเก่า ไม่กล้าที่จะฉีกกฎหรือลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลง ใจคอมีความสุขกับกรอบเดิมๆ ที่สร้างไว้ เพราะหลงเชื่อว่าคือ “Comfort Zone”

เอาง่ายๆ ขนาดขับรถจากออฟฟิศกลับบ้าน ก็ยังไม่กล้าที่จะเปลี่ยนเส้นทาง ยอมทนเอากับรถติด คิดแต่ว่าเดี๋ยวเกิดหลงขึ้นมา จะเสียเวลาเปล่า ทั้งๆ ที่เป็นความเสี่ยงที่แสนธรรมดา ไม่เห็นจะเสียหายอะไรเลย

ทำไมไม่คิดอีกมุม? หลงก็หลง กลับบ้านช้าสักวันจะเป็นไรไป? อย่างน้อยจะได้รู้ว่า ตรอกซอยข้างหน้า มีเซเว่นฯ มาเปิดใหม่ มีคลินิกหมอฟัน แถมมีร้านอาหารอร่อย คนเข้าคิวเพียบ จะได้ถือโอกาสไปชิมด้วยซ้ำ

Comfort Zone ของแต่ละคนย่อมไม่เท่ากัน อาณาจักรนี้จะใหญ่แค่ไหน เราย่อมรู้ดี แต่ผมว่ายิ่งปล่อยให้ยึดติดมากเท่าไหร่ ยิ่งเป็นผลเสียเท่านั้น

และเมื่อมองในบริบทขององค์กร ก็เป็นอันตรายที่ซ่อนแบบมองไม่เห็น

ในชีวิตของการเป็นมาร์เก็ตติ้ง ที่มียอดขายเป็นเดิมพัน ผมเชื่อเสมอว่า ถ้าทำแบบเดิมๆ ก็ได้เท่าเดิม อย่าคิดจะได้อะไรเพิ่ม ชีวิตมันไม่มีฟลุ้คขนาดนั้น

ความสนุกของทีมผม จึงอยู่ที่การได้ทดลองเปลี่ยนวิธี หาไอเดียใหม่ๆ ไม่ทำอะไรแบบเซฟๆ ซึ่งแน่นอนต้องขอบคุณองค์กรที่แฟร์พอ และเปิดโอกาสให้เราได้เรียนรู้ เป็นการรบข้ามเขตจินตนาการ เอาความจำเจทิ้งไว้ข้างหลัง

ยอมรับว่า แรกๆ ก็มองมุมลบ ยังแขยง เกรงความผิดพลาด แต่ก็พยายามเอาความกล้าชนะความกลัว ใช้ใจและสมองเต็มกำลังความสามารถที่มี

สุดท้าย ถ้าไม่เวิร์ค ก็ไม่บาดเจ็บ อย่างน้อยชีวิตหนึ่งก็ได้เรียนรู้ เป็นประสบการณ์เตือนตัวเอง และคนอื่น สร้างเครือข่ายการเรียนรู้แบบ Learning Organization ต่อๆ ไป

ในอีกบริบท ผมมักจะมองเห็นการทำงานเป็นทีมที่มีการขัดแข้งขัดขา ไม่ไปในทิศทางเดียวกัน เพราะมีความคิดแบบสองขั้ว สองข้างอย่างเห็นได้ชัด โดยมุมหนึ่งคือ “ปฏิวัตินิยม” ขณะที่อีกข้างอยู่ฝั่ง “อนุรักษนิยม”

มองผิวๆ คนมักจะโทษก่อนว่าฝ่ายหลังผิด ขวางความก้าวหน้าขององค์กร ทั้งที่ลึกๆ แล้วผมเถียงแทนได้ ไม่มีใครรักบริษัทน้อยไปกว่ากันหรอก

แถมความไม่กล้าเผลอๆ ไม่ได้มาจากความไม่รู้หรือไม่เก่ง บางคนสมาร์ทด้วยซ้ำ ตรรกะดี ทฤษฎีเพียบ แต่ ด้วย ความเคยชินที่อยู่ใน Comfort Zone นานเกินไป ความกล้าก็เลยถูกกัดกร่อนทีละน้อยๆ จนหมดลงในที่สุด

เอาใกล้ตัวขึ้นอีก ถ้าวิเคราะห์กันเป็นคนๆ เรามักจะได้ยินเจ้านายชื่นชมลูกน้องที่เป็นแบบ Versatile หรือเชี่ยวชาญหลายอย่าง ให้ทำอะไรก็ได้ ถนัดไปหมด ไม่เคยประหวั่น

ถ้าไม่นับพรสวรรค์ที่พระเจ้าประทานให้ ผมว่าพรแสวงนี่แหละสำคัญ ส่วนหนึ่งเชื่อว่าต้องเกิดจากประสบการณ์ที่เคยหยิบโน่น จับนี่มาแน่ๆ นานๆ เข้าก็หล่อหลอมจนกลายเป็นคนเก่งในที่สุด

ฉะนั้น เมื่อมีงานอะไรที่แม้ไม่เคยทำมาก่อน ลองทำใจกล้าๆ กระโดดรับบ้าง แสดงเจตนารมณ์ให้เห็น ถึงยังไม่มีความรู้ ขอเป็นลูกมือพลางๆ ก็ยังดี ขันอาสาไปเป็นทีมเวิร์ค ร่วมด้วยช่วยกัน

ภาษาผมเรียก “เอาทัศนคติดีๆ ไปแลกกับความรู้เข้าตัว” หรือ “เอาแรงไปแลกประสบการณ์ที่แปลกใหม่”

ที่น่าสงสารยิ่งกว่า ผมเห็นบางคนทู่ซี้ ทำงานหลังขดหลังแข็ง คิดเข้าข้างตัวเองไปวันๆ ว่า อาชีพหรือแผนกที่กำลังทำอยู่ดีที่สุด มีความสุขมากๆ ทั้งที่ความจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ ใครชวนไปไหนก็ไม่ไป มีโอกาสวิ่งเข้ามา ก็ไม่เสี่ยง จะโปรโมทให้ตำแหน่งสูง ก็ไม่รับ

อุปสรรคในใจ ก็ไม่มีอะไรไปกว่า แค่ยึดมั่นถือมั่น กลัวต่อการเปลี่ยนแปลง ติดอยู่กับกรอบของความปลอดภัย หรือ Comfort Zone ที่สร้างด้วยน้ำมือตัวเอง ไม่ใช่คนอื่น

ให้โอกาสตัวเองเลยครับ ทบทวน Road Map ของชีวิตดีๆ ยิ่งเดี๋ยวนี้ องค์กรส่วนใหญ่เปิดให้โยกย้ายตำแหน่ง หรือ Job Transfer กันภายใน ก็ให้พิจารณาดู ไม่มีอะไรเสียหาย

ผมเชื่อของผมว่า ของบางอย่าง เรียนใหม่ รู้ใหม่ ฝึกใหม่ได้

แถมเอาเข้าจริง งานหลายๆ อย่างในองค์กร อาจไม่ต้องการความรู้ ความเชี่ยวชาญที่ต้องเรียนจบสาขานั้นๆ โดยตรง จะเรียนอะไรมาก็ได้ ความรู้หรือปริญญา เป็นเพียงเสบียงเริ่มต้น เวลาทำงานจริงก็ต้องไปประยุกต์อยู่ดี

ที่สำคัญ ลองมองรอบๆ ตัว ไม่เคยมีสูตรสำเร็จว่าคนเรียนจบอะไร ต้องทำอย่างนั้น จบอย่าง ทำงานอีกอย่าง แล้วประสบความสำเร็จจากอาชีพอีกอย่าง ก็มีเยอะ

พี่น้องตระกูลไรท์ ที่ประดิษฐ์เครื่องบิน ก็เป็นช่างซ่อมจักรยานมาก่อน หลุยส์ ปาสเตอร์จริงๆ ก็ไม่ได้เป็นหมอมาแต่เริ่ม เจ้าสัวที่ร่ำรวย ก็เคยเสื่อผืนหมอนใบมาทั้งนั้น ไม่ได้เรียนด้านธุรกิจ หรือ MBA ด้วยซ้ำ

ผมเตือนตัวเองเสมอ “วัฏจักรชีวิตไม่ได้ยาวอย่างที่คิด เราจะไปเมื่อไหร่ ไม่มีใครกำหนดได้”

คงน่าเสียดายน่าดู หากตื่นลืมตาแล้วพบว่าตัวเอง หมดแรงที่จะเดินตามฝัน

วันนี้ ขณะที่ยังมีลมหายใจ ขออย่ากลัวต่อการเปลี่ยนแปลง อย่าแช่นิ่งอยู่กับกรอบลวงตาที่สร้างไว้

ที่สำคัญ อย่าให้ Comfort Zone มาทำลายความสำเร็จของตัวเอง… สู้ๆ นะครับ

ที่มา : http://www.bangkokbiznews.com/home/details/business/ceo-blogs/chaiyapol/20101001/355609/Comfort-Zone-%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2-%E2%80%9C%E0%B8%AA%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E2%80%9D-%E0%B8%9C%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2-%E2%80%9C%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E2%80%9D.html

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

*

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.